วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

IP Address

  IP Address   




        IP Address ย่อมาจากคำเต็มว่า Internet Protocal Address คือหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในระบบเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลแบบ TCP/IP ถ้าเปรียบเทียบก็คือบ้านเลขที่ของเรานั่นเอง ในระบบเครือข่าย จำเป็นจะต้องมีหมายเลข IP กำหนดไว้ให้กับคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ต้องการ IP ทั้งนี้เวลามีการโอนย้ายข้อมูล หรือสั่งงานใดๆ จะสามารถทราบตำแหน่งของเครื่องที่เราต้องการส่งข้อมูลไป จะได้ไม่ผิดพลาดเวลาส่งข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด มีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุด  เช่น 192.168.100.1 หรือ 172.16.10.1  เป็นต้น  โดยหมายเลข IP Address ของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีค่าไม่ซ้ำกัน สิ่งตัวเลข 4 ชุดนี้บอก คือ Network ID กับ Host ID ซึ่งจะบอกให้รู้ว่า เครื่อง computer ของเราอยู่ใน network ไหน และเป็นเครื่องไหนใน network นั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า Network ID และ Host ID มีค่าเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า IP Address นั้น อยู่ใน class อะไร

       เหตุที่ต้องมีการแบ่ง class ก็เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบ เป็นการแบ่ง IP Address ออกเป็นหมวดหมู่นั้นเอง สิ่งที่จะเป็นตัวจำแนก class ของ network ก็คือ bit ทางซ้ายมือสุดของตัวเลขตัวแรกของ IP Address (ที่แปลงเป็นเลขฐาน 2 แล้ว) นั่นเอง โดยที่ถ้า bit ทางซ้ายมือสุดเป็น 0 ก็จะเป็น class A ถ้าเป็น 10 ก็จะเป็น class B ถ้าเป็น 110 ก็จะเป็น class C ดังนั้น IP Address จะอยู่ใน class A ถ้าตัวเลขตัวแรกมีค่าได้ตั้งแต่ 0 ? 127 (000000002 ? 011111112) จะอยู่ใน class B ถ้าเลขตัวแรกมีค่าตั้งแต่ 128 ? 191 (100000002 ? 101111112) และ จะอยู่ใน class C ถ้าเลขตัวแรกมีค่าตั้งแต่ 192 - 223 (110000002 ? 110111112) มีข้อยกเว้นอยู่นิดหน่อยก็คือตัวเลข 0, 127 จะใช้ในความหมายพิเศษ จะไม่ใช้เป็น address ของ network ดังนั้น network ใน class A จะมีค่าตัวเลขตัวแรก ในช่วง 1 ? 126

       สำหรับตัวเลขตั้งแต่ 224 ขึ้นไป จะเป็น class พิเศษ  อย่างเช่น  Class D ซึ่งถูกใช้สำหรับการส่งข้อมูลแบบ Multicast ของบาง Application และ Class E ซึ่ง Class นี้เป็น Address ที่ถูกสงวนไว้ก่อน ยังไม่ถูกใช้งานจริง ๆ  โดย Class D และ Class E นี้เป็น Class พิเศษ ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้งานในภาวะปกติ

    ตัวอย่าง IP Address
    Class A ตั้งแต่ 10.xxx.xxx.xxx
    Class B ตั้งแต่ 172.16.xxx.xxx ถึง 172.31.xxx.xxx
    Class C ตั้งแต่ 192.168.0.xxx ถึง 192.168.255.xxx

       จาก IP Address เราสามารถที่จะบอก ได้คร่าวๆ ว่า computer 2 เครื่องอยู่ใน network วงเดียวกันหรือเปล่าโดยการเปรียบเทียบ Network ID ของ IP Address ถ้ามี Network ID ตรงกันก็แสดงว่าอยู่ใน network วงเดียวกัน เช่น computer เครื่องหนึ่งมี IP Address 1.2.3.4 จะอยู่ใน network วงเดียวกับอีกเครื่องหนึ่งซึ่งมี IP Address 1.100.150.200 เนื่องจากมี Network ID ตรงกันคือ 1 (class A ใช้ Network ID 1 byte)

    วิธีตรวจสอบ IP Address
    1.คลิกปุ่ม Start เลือก Run
    2.พิมพ์คำว่า cmd กดปุ่ม OK
    3.จะได้หน้าต่างสีดำ
    4.พิมพ์คำว่า ipconfig กด enter
    5.จะเห็นกลุ่มหมายเลข IP Address


วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

มารู้จักกับPHP

PHP คืออะไร

หลายคนที่ทำเว็บไซต์ด้วย HTML หรือโปรแกรมช่วยสร้างเว็บไซต์ต่างๆ เช่น Dreamweaver แล้วอาจสงสัยว่าเมื่อทำ form สำหรับ รับค่าเช่น ชื่อ ที่อยู่ เสร็จแล้วจะเก็บค่ายังไง หรือจะทำอย่างไรต่อ หรือเว็บบอร์ดทำงานอย่างไร CMS ทำงานอย่างไร ทำไมบางเว็บไซต์สามารถโต้ตอบกับ ผู้ใช้งานได้ คำตอบของทุกคำถามคือ PHP ครับ

PHP นั้นเป็นภาษาสำหรับใช้ในการเขียนโปรแกรมบนเว็บไซต์ สามารถเขียนได้หลากหลายโปรแกรมเช่นเดียวกับภาษาทั่วไป อาจมีข้อสงสัยว่า ต่างจาก HTML อย่างไร คำตอบคือ HTML นั้นเป็นภาษาที่ใช้ในการจัดรูปแบบของเว็บไซต์ จัดตำแหน่งรูป จัดรูปแบบตัวอักษร หรือใส่สีสันให้กับ เว็บไซต์ของเรา แต่ PHP นั้นเป็นส่วนที่ใช้ในการคำนวน ประมวลผล เก็บค่า และทำตามคำสั่งต่างๆ อย่างเช่น รับค่าจากแบบ form ที่เราทำ รับค่าจากช่องคำตอบของเว็บบอร์ดและเก็บไว้เพื่อนำมาแสดงผลต่อไป แม้แต่กระทั่งใช้ในการเขียน CMS ยอดนิยมเช่น Drupal , Joomla พูดง่ายๆคือเว็บไซต์จะโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ ต้องมีภาษา PHP ส่วน HTML หรือ Javascript ใช้เป็นเพียงแค่ตัวควบคุมการแสดงผลเท่านั้น


นอกจากภาษา PHP แล้วยังมีภาษาอื่นอีกหรือไม่

คำตอบคือมีครับ เช่น ASP , JSP แต่ที่นิยมมาก คือ PHP เพราะเป็นภาษาที่สามารถศึกษาได้ง่าย ทำงานได้มีประสิทธิภาพ ทำให้เป็นที่นิยมอย่างยิ่งในปัจจุบัน รวมทั้งมีชุมชนคนใช้งาน และคู่มือที่ ดีมาก และสำคัญสุดคือฟรีครับ การใช้งานภาษา PHP ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ทุกคนสามารถเข้าถึงได้


การจะเขียน PHP ต้องมีอะไรบ้าง

อย่างที่บอกไปว่า PHP นั้นจำเป็นจะต้องมีการประมวลผลดังนั้นการใช้งานเราจะต้องมี Web Server เพื่อให้ตัว PHP สามารถทำงานได้ ต่างจาก HTML งั้นจะทำอย่างไรถ้าเราไม่ได้เช่า Web Server เอาไว้จะใช้งาน PHP ไม่ได้หรือ คำตอบคือได้ครับ แต่เราจะต้องลงโปรแกรม ให้เครื่องที่เราใช้งานอยู่นั้นทำงานเหมือนกับ Web Server ซะก่อนซึ่งโปรแกรมนั้นชื่อว่า Apache ครับเป็นโปรแกรมฟรีเหมือนกัน นี่เป็นข้อดี ที่ทำให้ทุกคนรัก PHP ครับ หลังจากที่เราทำให้เครื่องของเรานั้นเหมือนกับ Web Server แล้วจะเก็บข้อมูลเว็บไซต์เช่น คำตอบของเว็บบอร์ด จะเก็บอย่างไร คำตอบคือต้องมีโปรแกรมฐานข้อมูลอีกตัวเข้ามาช่วยครับ ซึ่งโปรแกรมที่แนะนำคือ MySQL ครับฟรีอีกเช่นกัน ทั้งหมดสำหรับมือใหม่อาจ จะเริ่มลงโปรแกรมทั้งหมดนั้นยากนะครับ จึงมีโปรแกรมที่รวมทุกอย่าง เพื่อจำลองเครื่องของเราให้เป็น Web Server เลยสามารถลงได้ง่ายๆ ซึ่ง จะมีสอนในบทต่อไปนะครับ


การพัฒนาเว็บไซต์ด้วย PHP

สำหรับผู้พัฒนาเว็บไซต์ด้วย PHP นั้นปรกติจะทำการจำลองเครื่องของตัวเองให้เป็น Web Server ระหว่างการพัฒนาเพื่อดูการทำงาน ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาครับ จากนั้นจึงจะอัพไฟล์ทั้งหมดลงใน Web Server จริงครับ ในส่วนของ Web Server นั้นทาง Hellomyweb ก็มีให้บริการอยู่นะครับ สนใจคลิกที่นี่ครับ ถามว่าเราจะให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรานั้นทำงานได้เหมือนกับ Web server จริงได้หรือไม่ คำตอบคือได้ครับ แต่มันออกจะไม่คุ่มค่า ทางการเงินนะครับ เพราะเราต้องเสียค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต เครื่องคอมก็ต้องเปิดไว้ตลอดปิดไม่ได้ เวลาผู้ใช้งานจากภายนอกมาเรียกใช้ก็รองรับไม่ได้ไม่มาก ดังนั้นการเช่า Web Server ภายนอกจะคุ่มค่ามากกว่าครับ หากต้องการจะพัฒนาเว็บไซต์เพื่อใช้งานจริงๆ

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

รู้จักกับHTML

การสร้างโฮมเพจ

ปัจจุบันระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้เข้าไปมีบทบาทในชีวิตประจำวัน ในฐานะที่เป็นแหล่งความรู้ เป็นแหล่งประกอบธุรกิจ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อ สิ่งต่างๆ ที่กล่าวถึงถูกนำเสนอในรูปแบบของโฮมเพจ ทำให้หลาย ๆ คนเกิดคำถามขึ้นมาว่า โฮมเพจเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ในการสร้างโฮมเพจนั้นผู้สร้างต้องมีความรู้เกี่ยวกับภาษา HTML หรือรู้จักวิธีการใช้เครื่องมือต่างๆ ที่อยู่ในรูปแบบของโปรแกรมประยุกต์มาใช้ในการสร้างเว็บเพจ ซึ่งได้แก่ FrontPage DreamWeaver AdobePagemill ฯลฯ นอกจากนั้นยังต้องรู้ขั้นตอนวิธีในการนำโฮมเพจไปเผยแพร่บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตอีกด้วย

HTML คืออะไร

HTML ย่อมาจากคำว่า Hypertext Markup Language พัฒนามาจากภาษา SGML (Standard Generalized Markup Language) โดย นาย Tim Berners - Lee เป็นภาษามาตรฐานที่ใช้พัฒนาเอกสารในรูปแบบของเว็บเพจบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การเรียกใช้เอกสารเหล่านี้ทำได้โดยการใช้โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ (Web Browser) เช่น Mosaic , Opera , Nescape navigator , Internet Explorer ฯลฯ เรียกดูแฟ้มที่สร้างด้วยภาษา HTML ข้อดีของ HTML คือสามารถใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ และระบบปฏิบัติการได้หลากหลายชนิด
แฟ้มข้อมูลที่เขียนด้วยภาษา HTML นั้นจะมีการนำคำสั่ง HTML ที่เรียกว่า แท็ก (Tag) มากำหนดลักษณะและรูปแบบของเอกสารที่แสดงบนจอภาพ แท็ก (Tag) ประกอบด้วย เครื่องหมายน้อยกว่า (<) ตามด้วยชื่อแท็ก ปิดท้ายด้วยเครื่องหมายมากกว่า (>) เช่น <HTML>, <HEAD>, <BODY> ชื่อแท็กนั้นอาจจะเป็นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ก็ได้ แท็กในภาษา HTML สามารถแบ่งออกได้เป็นสองชนิดเดียวคือ
  • แท็กที่ประกอบด้วยแท็กเปิดและแท็กปิด เช่น <HTML> เป็นแท็กเปิด ส่วน
    </ HTML> เป็นแท็กปิด
  • แท็กที่ไม่มีแท็กปิด เช่น แท็ก <BR> ไม่ต้องมีแท็ก </BR>

ปัจจัยพื้นฐานในการเขียนโฮมเพจโดยใช้ภาษา HTML

ในการพัฒนาโฮมเพจด้วยภาษา HTML นั้นเราต้องปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็น ดังนี้
  1. โปรแกรมแก้ไขข้อความ (Text Editor) เช่น โปรแกรม Emacs, PICO หรือ vi บนระบบปฏิบัติการ UNIX, โปรแกรม Simple Text บนระบบปฏิบัติการ Macintosh หรือ โปรแกรม Notepad บนระบบปฏิบัติการ Windows และในกรณีที่ต้องการใช้โปรแกรมประยุกต์ประเภท WYSIWYG (What You See Is What You Get) ก็มีโปรแกรมให้เลือกใช้ได้มากมาย เช่น FrontPage, DreamWeaver, Adobe PageMill ฯลฯ

ภาพแสดงโปรแกรมแก้ไขข้อความ (Text editor) Notepad


  1. โปรแกรมตกแต่งรูปภาพ (Graphics Design) เช่น โปรแกรม PaintShop pro, Ulead PhotoImpact, PhotoShop ฯลฯ
  2. โปรแกรมเว็บบราเซอร์ เช่น โปรแกรม Netscape Navigator หรือโปรแกรม Internet Explorer เพื่อใช้ในการตรวจสอบผลลัพธ์ของการเขียน HTML

รูปแบบของการเขียน HTML

ในการเขียน HTML นั้นเราจะต้องจัดวางรูปแบบของแท็กต่าง ๆ ให้ถูกต้องโดยแท็กพื้นฐานที่ต้องมีในการเขียน HTML ได้แก่
tagรายละเอียด
<HTML>…</HTML>เป็นแท็กกำหนดถึงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเอกสาร HTML
<HEAD>…</HEAD>เป็นแท็กกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของส่วนกำหนดค่าเริ่มต้นของเอกสาร HTML เช่น ชื่อของเอกสาร
<TITLE>…<TITLE>เป็นแท็กกำหนดชื่อของเอกสาร
<BODY>…</BODY>เป็นแท็กกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของส่วนแสดงข้อมูลของเอกสาร
ซึ่งเราจะต้องจัดวางตำแหน่งของแท็กต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ตัวอย่าง 1.1 การจัดวางตำแหน่งของแท็ก
<HTML>
<HEAD>
<TITLE>ชื่อเอกสาร</TITLE>
</HEAD>
<BODY>
&ข้อมูลเอกสาร
</BODY>
</HTML>

ขั้นตอนการเขียนโฮมเพจด้วย HTML

ในการเขียนโฮมเพจด้วย HTML โดยใช้โปรแกรมแก้ไขข้อความ (Text Editor) Notepad มีขั้นตอนดังน
  1. เปิดโปรแกรมแก้ไขข้อความ (Text Editor) Notepad
  2. พิมพ์แท็ก HTML
  3. บันทึกแฟ้มข้อมูล โดยมีนามสกุลเป็น .htm หรือ .html
  4. เปิดโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ (Internet Explorer หรือ Netscape Navigator) แล้วทำการเปิดแฟ้มข้อมูลที่บันทึกไว้จากข้อ 3. เพื่อตรวจสอบผลลัพธ์บนจอภาพว่าแสดงผลได้ตามที่ต้องการหรือไม

การกำหนดชื่อเอกสาร

ในการเขียน HTML นั้นจำเป็นจะต้องกำหนดชื่อเอกสารด้วยเสมอ เพราะการกำหนดชื่อเอกสารจะทำให้ผู้เข้าชมสามารถรู้ถึงชื่อเรื่องของเอกสารชุดนั้นได้ทันที และสะดวกต่อการสืบค้นข้อมูล การกำหนดชื่อของเอกสารทำได้โดยการพิมพ์ชื่อของเอกสารที่ต้องการไว้ระหว่างแท็ก <TITLE > กับแท็ก </TITLE>
ตัวอย่าง 1.2 การกำหนดชื่อเอกสาร
<HTML>
<HEAD>
<TITLE>My First Page</TITLE>
</HEAD>
<BODY>
</BODY>
</HTML>

เมื่อเราเปิดแฟ้ม HTML นี้ด้วยโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ จะเห็นข้อความว่า My First Page ปรากฏที่ส่วนของ Title Bar ของโปรแกรมเว็บบราเซอร์

การใส่ข้อมูลในเอกสาร

ข้อความ รูปภาพ เสียง หรือ คลิปวิดีโอ (Video Clip) ที่ต้องการให้แสดงบนพื้นที่แสดงผลของโปรแกรมบราวเซอร์ ทำได้โดยการพิมพ์ที่ต้องการไว้ระหว่างแท็ก <BODY> กับ </BODY>
ตัวอย่าง 1.3 การใส่ข้อมูลในเอกสาร
<HTML>
<HEAD>
<TITLE> My First Page </TITLE>
</HEAD>
<BODY>
welcome to my first home page,
</BODY>
</HTML>

เมื่อเราเปิดแฟ้ม HTML นี้ด้วยโปรแกรมเว็บบราเซอร์ ข้อความ My Fist page ปรากฏที่ส่วนของ Title Bar ข้อความ Welcome to my first home page. จะแสดงที่พื้นที่แสดงข้อมูลของโปรแกรมเว็บบราเซอร์

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การทำwebsite

การทำwebsite


    บทความนี้เราจะมาลองทำเว็บไซต์กัน โดยการทำเว็บไซต์ในบทความนี้จะเป็นแบบพื้นฐานเพื่อให้คุณได้เข้าใจถึงการทำงานของเว็บไซต์ ซึ่งเราจะใช้โปรแกรม notepad ซึ่งจะมีอยู่ในทุกเครื่องที่ใช้ระบบ window
    โปรแกรม notepad เป็นโปรแกรมที่อยู่ในประเภท Text editor ใช้ในการแก้ไขข้อความ มีความสำคัญมากในการทำเว็บไซต์ เพราะจริงๆแล้วเว็บไซต์ที่เราเห็นว่ามีหน้าตาสวยงาม มีรูปภาพ หรือมีการเคลื่อนไหวต่างๆ ซึ่งจริงๆแล้วตัวเว็บไซต์นั้นก็ประกอบด้วย ตัวหนังสือมากมายรวมกันอยู่เป็นไฟล์(เราจะเรียกว่าเว็บเพจ) แต่มีการถูกแปลงที่เครื่องของคุณให้เป็นรูป หรือหน้าตาตามที่เราเห็น

ซึ่งในบทนี้เรามาลองทำเว็บเพจดู ขั้นตอนตามนี้


1.ให้คุณเปิดโปรแกรม Notepad ขึ้นมา โดยไปที่ All programs > Accessories > Notepad 


ซึ่งโปรแกรม notepad จะมีหน้าตาแบบนี้



2. ให้คุณพิมพ์ข้อความต่อไปนี้ ใน notepad

<html>
    <head>
        <title>ทดลองทำเว็บไซต์แบบง่ายๆ</title>
    </head>
    <body>
             Hellomyweb นี่คือเว็บไซต์แรกของฉัน
    </body>
</html>

ข้อความที่คุณพิมพ์ไปนั้นเราเรียกว่า SOURCE CODE เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ เรียกว่าภาษา HTML ซึ่งใช้ในการจัดหน้าของเว็บเพจ คุณสามารถศึกษารายละเอียดของภาษา html ได้ที่หัวข้อของ html

เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วให้เราเลือก save as จะมีหน้าต่างออกมา ให้เราใส่ชื่อไฟล์เป็น index.html และเลือกชนิดไฟล์ (save as type) เป็นแบบ All files จากนั้นก็ save ไฟล์ 


เราจะได้ไฟล์มาดังรูปข้างล่าง ให้เราคลิกเพื่อเปิดไฟล์ index.html เราก็จะเห็นเว็บไซต์แรกของเรา ซึ่งจะถูกเปิดโดยโปรแกรม internet explorer (ต่อไปนี้เราจะเรียกว่า Web Browser)


 จากรูปจะบรรยายการทำงานของ html ที่เขียนเอาไว้ ซึ่งจะเห็นว่าตัวหนังสือที่อยู่ใน <title>....</title> จะแสดงที่ส่วนหัวของโปรแกรม internet explorer และในส่วนของ <body>....</body> จะแสดงในส่วนแสดงผลของโปรแกรม
เราก็ได้เห็นเว็บไซต์ที่เราทำเองไปแล้ว ซึ่งในบางเครื่องที่ลองทำเว็บอาจมีปัญหาได้ เราจะมาลองดูว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร

1.เปิดไฟล์ไม่ได้    ให้เราลองเปิดโดยวิธีนี้แทน
เปิดโปรแกรม internet explorer ไปที่ file > open > browse เลือกไฟล์ที่ เรา save และกดที่ open

2.เปิดแล้วเป็นภาษาต่างดาว อ่านไม่ออก     จากรูปให้เราไปที่ file > view > encoding > thai

 หลังจากที่เราลองเขียน sorce code ไปแล้ว เราจะลองไปดูเว็บไซต์อื่นกันบ้างว่าเค้าเขียน source code กันอย่างไร ซึ่งการดู sorce code ของเว็บไซต์อื่นก็ทำได้โดย คลิกขวาที่เว็บที่เรากำลังดูอยู่ เลือก view soure


 เราอาจจะเห็นว่าทำไมเว็บอื่น soure code เยอะมาก ซึ่งเราก็ไม่ต้องตกใจครับจริงแล้ว source code พวกนี้เราไม่ได้ใช้ notepad เขียน เพราะจะลำบากในการเขียนมากแต่ที่ในบทความนี้ให้ใช้ notepad เพราะเป็นโปรแกรมที่มีอยู่ในทุกเครื่อง จริงแล้วเราจะใช้โปรแกรมช่วยเขียน เช่น DREAMWEAVER , HTML - KIT , EDIT PLUS เป็นต้น ซึ่งในบทความต่อไปจะเป็นการลองใส่รูปในเว็บไซต์เพื่อเพิ่มสีสันในเว็บของเรา

สรุปการทำเว็บไซต์
    หลังจากที่เราได้ลองทำเว็บจากบทความข้างต้นไปแล้ว ซึ่งก็คงพอทำให้นึกภาพรวมของเว็บไซต์ได้ ในบทความนี้จะเป็นการสรุปการทำเว็บไว้อีกครั้ง

    1. ภาษา HTML
    เว็บเพจนั้นสร้างมาจากภาษา HTML ซึ่งจะใช้ในการจัดรูปแบบของเว็บเพจว่าต้องการให้ ตัวอักษรมีขนาเท่าไหร่ จัดวางอยู่นะตำแหน่งไหน ให้รูปภาพอยู่ที่ตำแหน่งใด ซึ่งจำเป็นมากในการสร้างเว็บ ดังนั้นเราจึงควรรู้พื้นฐานของ HTML บ้าง ถึงแม้ว่าจะมีโปรแกรมอย่าง Dreamwerver ที่เข้ามาอำนวยความสำดวกในการเขียน HTML ให้เราแต่ตัวของ Dreamweaver เองก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ ดังนั้นถ้าเรารู้ภาษา HTML ก็จะทำให้ข้อจำกัดนั้นหายไป

    2. รูปภาพ
    ภาพเพียงภาพเดียว อาจแทนคำพูด หลายล้านคำ ด้วยเหตุนี้การทำเว็บจึงไม่ขาดรูปภาพได้ เพราะนอกจากจะบรรยายเรื่องราวได้ดีแล้ว ยังทำให้เว็บของเราดูสวยงามขึ้นอีกด้วย
ถึงแม้ว่าภาพจะบรรยายคำพูดได้ดี แต่ด้วยขนาดของมันก็ใหญ่กว่าตัวอักษรมากเช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าเราใส่รูปในเว็บของเรามากก็จะทำให้เว็บของเราเปิดได้ช้าลง การเปิดเว็บไซต์ได้ช้าหรือเร็วเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ดังนั้นเราจึงควรเลือกรูปภาพที่สามารถสื่อความหมายได้ดี ตกแต่งให้รูปสวยงาม และมีขนาดเล็กลงโดยไม่ทำให้คุณภาพของรูปเสียไป ซึ่งปัจจุบันมีโปรแกรมมากมายที่เข้ามาจัดการรูปภาพเช่น Photoshop , Gimp ดังนั้นเราจึงควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมพวกนี้เอาไว้ด้วยเพื่อเว็บของเราจะได้มีประสิทธิภาพ และความสวยงาม

    3. การใช้โปรแกรมสร้างเว็บเพจ
    โปรแกรมที่ใช้ในการสร้างเว็บเพจอย่าง Dreamwerver เป็นโปรแกรมที่ใช้งานได้ง่าย และทำให้เราสร้างเว็บเพจได้เร็วขึ้น นอกจากนั้นยังมีตัวช่วยและเครื่องมือต่างคอยอำนวยความสำดวกเรา เช่น FTP ซึ่งเป็นการดีที่เราจะเรียนรู้โปรแกรมพวกนี้เอาไว้ สำหรับผู้เริ่มต้น เราอาจศึกษาจากตัวของ Dreamwerver เองก็จะทำให้เราเรียนรู้ได้เร็วขึ้น และรู้วิธีการเขียน HTML ที่ดี เพราะ Dreamwerver นั้นจะแสดง HTML ที่โปรแกรมสร้างขึ้นมา ซึ่งเป็นการเขียนที่เรียบร้อยละดูง่าย

    4. web server
    web server ก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งซึ่งเชื่อมต่ออยู่กับอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ มีความสำคัญคือเอาไว้เก็บไฟล์(เว็บเพจ) ของเรา เพื่อให้คนอื่นเปิดเข้ามาดูนั่นเอง ถ้าเราต้องการจะทำให้เครื่องของเราเป็น web server ก็แต่ แต่ก็ได้กล่าวไปแล้วว่าเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองและ web server ที่ได้ก็จะไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันนั้นมี web server (hosting) ให้เช่าพื้นที่ในการเก็บเว็บเพจ มากมายหลายที่แต่ละที่ก็จะมีประสิทธิภาพ และราคาต่างกันไป ซึ่งราคาในปัจจุบันก็ถือว่าไม่แพงมาก สำหรับผู้เริ่มต้นอาจใช้บริการฟรีไปก่อนก็ได้ พอเว็บเริ่มเป็นที่นิยมก็ค่อยมาใช้แบบที่ต้องเสียค่าบริการ

    5. Domain name
    Domain name คือชื่อของเว็บของคุณ เช่น www.hellomyweb.com ตัวของ Domain name นั้นเหมือนกับทะเบียนบ้านที่จะจดซ้ำกันไม่ได้ดังนั้นเราจึงต้องมีผู้รับผิดชอบ ถ้าเราต้องการจะมี Domain name เป็นของตัวเองก็จะต้องติดต่อกับผู้รับผิดชอบและเสียค่าบริการรายปี

Domain Name

          โดเมนเนม (Domain Name)


          


          โดเมนเนมภาษาอังกฤษเขียนว่า "Domain Name" โดเมนเนม ความหมายโดยทั่วๆไป หมายถึง ชื่อที่ใช้ระบุลงในคอมพิวเตอร์ ชื่อเว็บไซต์ ชื่อบล็อก (เช่น เป็นส่วนหนึ่งของที่อยู่เว็บไซต์หรือ อีเมล์แอดเดรส) ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้จดจำและนำไปใช้งานได้ง่ายทั้งในการเข้าชมผ่านบราวเซอร์ของผู้ใช้ทั่วไป ยังรวมไปถึงผู้ดูแลระบบ Domain Name Server ที่สามารถแก้ไขไอพีแอดเดรส (IP Address) ของชื่อโดเมนเนม (Domain Name) นั้นๆ ได้ทันที

          โดเมนเนม หรือ ชื่อโดเมน เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เนื่องจากไอพีแอดเดรสนั้นจดจำได้ยากกว่า และเมื่อการเปลี่ยนแปลงไอพีแอดเดรสผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือจดจำไอพีแอดเดรสใหม่ ยังคงใช้โดเมนเนมเดิมได้ต่อไป
               
ข้อสำคัญในการจดโดเมน
1. ต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า 3 ตัวอักษร และมีตัวอักษร "a" ถึง "z" หรือ "A" ถึง "Z" หรือมี "0" ถึง "9" และ "-" ได้ไม่เกิน 63 ตัวอักษร
2. ต้องไม่มีสัญลักษณ์พิเศษเช่น @!#$%^&*()_+= ต่างๆ
3. สามารถมี - ( Dash ) ขั้นได้ แต่ห้ามอยู่หน้าเช่น -yourdomain ไม่สามารถจดได้ ที่จดได้คือ yourdomain-a.com แต่ไม่สามารถจดแบบ yourdomain-.com ได้
ไอพีแอดเดรส (IP Address) 1 ไอพี สามารถใช้โดเมนเนมได้มากกว่า 1 โดเมนเนม และหลายๆ โดเมนเนมอาจจะใช้ไอพีแอดเดรสเดียวกันได้ตัวอย่างต่อไปนี้ แสดงถึงความแตกต่างระหว่าง ยูอาร์แอล (URL) โดเมนเนม และ ซับโดเมน
• URL (ยูอาร์แอล) : http://www.domain.com
• Sub Domain (ซับโดเมน) : subdomain.domain.com
• Sub Domain (ซับโดเมน) : subdomain.domain.com
โดยทั่วไป ไอพีแอดเดรสกับชื่อเซิร์ฟเวอร์มักจะแปลงกลับไปมาได้ 1 ไอพีแอดเดรสมักหมายถึง 1 ชื่อเซิร์ฟเวอร์ แต่ปัจจุบัน ความสนใจในเรื่องเว็บทำให้จำนวนเว็บไซต์มีมากกว่าเซิร์ฟเวอร์ โพรโทคอล HTTP จึงระบุว่าไคลเอนต์จะเป็นผู้บอกเซิร์ฟเวอร์ว่าชื่อใดที่ต้องการใช้ วิธีนี้ 1 เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ 1 ไอพีแอดเดรสจะใช้โดเมนเนมได้หลายชื่อ ยกตัวอย่าง เซิร์ฟเวอร์ที่มีไอพี 123.45.67.89 อาจจะใช้งานโดเมนเนมเหล่านี้ได้:
• domain1.com
• domain2.com
• domain3.us
               
ประโยชน์ที่สำคัญ
+ประโยชน์ที่สำคัญของ DNS คือช่วยแปลงหมายเลขไอพีซึ่งเป็นชุดตัวเลขที่จดจำได้ยาก (เช่น 123.45.67.89) มาเป็นชื่อที่สามารถจดจำได้ง่ายแทน(เช่น domain-name.org)

องค์กรที่กำหนดและควบคุมโดเมน ได้แก่ ICANN
ICANN ย่อมาจาก Internet Corporation for Assigned Named and Numbers รายละเอียดดูได้จาก http://www.icann.org
+โดเมนเนม มีหลายสกุล แต่ที่นิยมมากที่สุดนั้นก็คือ .com เพราะเป็น เป็นสกุลในยุคแรกๆ ที่เริ่มใช้กัน และง่ายต่อการจดจำ

               
ประเภทของ Domain Name แบ่งได้เป็น 2 ประเภท
1. โดเมน 2 ระดับ ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน
2. โดเมน 3 ระดับ ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน . ประเทศ
Ø 1.โดเมนเนม 2 ระดับ
จะประกอบด้วย www . ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน เช่น www.dotregis.com
ประเภทของโดเมน คือ คำย่อขององค์กร โดยประเภทขององค์กรที่พบบ่อย มีดังต่อไปนี้ .com คือ บริษัท หรือ องค์กรพาณิชย์ ธุรกิจการค้า
.org คือ องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร เช่น สมาคม หรือมูลนิธิ
.net คือ องค์กรใด หรือบริษัทใด ที่ทำงานเกี่ยวกับ เกตเวย์ (Gateway) หรือ จุดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network)
.edu คือ สถาบันการศึกษา
.gov คือ องค์กรของรัฐบาล
.mil คือ องค์กรทางทหาร
.info คือ เว็บไซต์ที่นำเสนอข้อมูลเป็นหลัก
.biz คือ เว็บไซต์องค์กรที่เกี่ยวกับธุรกิจการค้า
.name คือ เว็บไซต์ครอบครัว บุคคล
.mobi คือ เว็บไซต์โทรศัพท์มือถือ
.tel คือ เว็บไซต์การสื่อสาร
.travel คือ เว็บไซต์การท่องเที่ยว โรงแรม ทัวร์
* ทั้งนี้ เป็นเพียงหมวดหมู่ในการสื่อสารให้กับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น

Ø โดเมนเนม 3 ระดับ
จะประกอบด้วย www . ชื่อโดเมน . ประเภทของโดเมน . ประเทศ เช่น www.cu.ac.th, www.nectec.or.th, www.google.co.th
ประเภทขององค์กรที่พบบ่อย คือ
.co คือ บริษัท หรือ องค์กรพาณิชย์
.ac คือ สถาบันการศึกษา
.go คือ องค์กรของรัฐบาล
.net คือ องค์กรที่ให้บริการเครือข่าย
.or คือ องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร

ตัวย่อของประเทศที่ตั้งขององค์กร
.th คือ ประเทศไทย .au คือ ประเทศออสเตรเลีย
.cn คือ ประเทศจีน .de คือ ประเทศเยอรมัน
.jp คือ ประเทศญี่ปุ่น
.uk คือ ประเทศอังกฤษ .us คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา
.vn คือ ประเทศเวียดนาม

Domain Name แบ่งออกตามการจดทะเบียนได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. การจดทะเบียนโดเมนต่างประเทศ
2. การจดทะเบียนโดเมนภายในประเทศ

ตัวอย่างโดเมนของประเทศต่าง ๆ
โดเมนสำหรับประเทศไทย การจดทะเบียนโดเมนต่างประเทศ ( gTLD - Generic)
.com
.net
.org

สิ่งสำคัญของชื่อเว็บไซต์
โดเมนเนม ถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่มองข้ามไม่ได้เลยสำหรับเว็บไซต์นั้นๆ โดยเฉพาะกับการโฆษณาบนอินเตอร์เน็ตถ้าได้ชื่อที่เฉพาะเจาะจง ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้วนั้น จะทำให้โดเมนเนม หรือ เว็บไซต์นั้นๆจะได้รับความสนใจและเป็นที่จดจำได้ง่าย ไม่ใช่กับผู้เข้าชมหรือกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาชมเว็บไซต์ผ่านโดเมนเนมเท่านั้นยังรวมไปถึง Search Engine ชื่อดังต่างๆ เช่น Google, Yahoo, MSN เป็นต้น ที่จะเข้ามาแวะเวียนเข้ามาทำ index (Bot มาเก็บข้อมูล)กับเว็บเพจหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ของเรา
หลังจากจดโดเมนเนมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งสำคัญลำดับถัดมานั้นก็คือ โฮสติ้ง (Hosting) หรือ ที่เก็บข้อมูลเว็บไซต์ของเรานั้นเองซึ่งโฮสติ้งแต่ละที่จะมี DNS หรือ Name Server ที่ทางผู้ให้บริการโฮสติ้ง จะเป็นคนกำหนดและแจ้งให้เราทราบเพื่อเอาไปใส่ให้โดเมนเนมของเรา  เช่น DNS ของ DotRegis จะมีชื่อว่า NS1.DOTREGIS.COM และ NS2.DOTREGIS.COM ซึ่งคุณไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้เพราะถ้าคุณจด Domain Name และใช้บริการโฮสติ้งกับผู้ให้บริการเดียวกันจะไม่มีปัญหาอะไรเลย หรือแม้ว่าจะเป็นผู้ให้บริการต่างกันเพียงแค่นำ DNS ที่ได้ ไประบุให้กับโดเมนเนมนั้นตามที่ได้อธิบายไปแล้วยังไม่ต้องการพื้นที่โฮสติ้ง
ในกรณีที่คุณยังไม่มีเว็บโฮสติ้ง หรือยังไม่ต้องการเช่าเว็บโฮสติ้งจากดอทรีจิส หรือผู้ให้บริการรายอื่น แต่ DotRegis.com ให้พื้นที่ Special Solution "FREE Package"
ฟรีทุกโดเมน ไม่จำกัดจำนวน ให้คุณสามารถทำเว็บไซต์ฟรีทุกโดเมน ซึ่งจะทำให้คุณสามารถใช้งาน Domain Services ต่างๆ ได้ เช่น
รองรับผู้ใช้งาน ได้กว่า 3,000 คน/เดือน
• Domain Forwarding
• Mail Forwarding
• DNS Management ไม่จำกัดจำนวนโดเมน และจดได้สูงสุด 10 ปี

เช่น DNS ของ DotRegis จะมีชื่อว่า NS11.DOTREGIS.COM และ NS12.DOTREGIS.COM ซึ่งคุณไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้  เพราะถ้าคุณจด Domain Name และใช้บริการโฮสติ้งกับผู้ให้บริการเดียวกันจะไม่มีปัญหาอะไรเลย หรือแม้ว่าจะเป็นผู้ให้บริการต่างกัน
เพียงแค่นำ DNS ที่ได้ ไประบุให้กับโดเมนเนมนั้นตามที่ได้อธิบายไปแล้ว